คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Australia ดินแดงแห่งจิงโจ้ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ที่หลายคนใฝ่ฝันจะไปเรียนภาษาอังกฤษกัน โดยเฉพาะเมืองยอดฮิตอย่าง Sydney และ Melbourne โดยทั้งสองเมืองนี้ ถือว่าเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรเลีย รวมถึงสภาพแวดล้อม ผู้คน วัฒนธรรมก็ยอดเยี่ยม หากจะถามว่าไปเรียนที่เมืองไหนดี ก็คงบอกได้ว่าทั้งสองเมืองนี้เป็นเมืองที่คนนิยมไปเรียนทั้งคู่ เพราะสถาบันการเรียนภาษาได้รับมาตรฐานและการยอมรับในระดับสากล รวมถึงการขอวีซ่าเรียนต่อที่ออสเตรเลียก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด บวกกับยังสามารถหารายได้พิเศษทำงานPart time ระหว่างเรียนภาษา แต่ทั้งสองเมืองนี้อาจจะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง? จะได้ไม่ลังเลว่าควรเลือกเรียนที่ Sydney หรือ Melbourne ถึงจะเหมาะกับตัวเรา
Sydney
“ซิดนีย์” หากพูดถึงเมืองนี้หลายคนคงคิดว่ามันคือเมืองหลวงของออสเตรเลีย ผิด! ความจริงแล้ว ซิดนีย์ เป็นเมืองหลวงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐทั้งหมดของออสเตรเลียนั่นเอง แต่ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนคิดว่าซิดนีย์นั่นเป็นเมืองหลวง ก็เพราะว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยสีสัน เป็นศูนย์กลางของนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นเมืองที่มีสถาบันการเรียนการสอนด้านภาษาที่ได้คุณภาพหลายแห่ง และถือว่าเป็นอีกเมืองที่ถูกยกย่องให้เป็นเมืองที่สวยและน่าอยู่ที่สุดในโลกด้วย
Melbourne
“เมลเบิร์น” คือเมืองหลวงของรัฐวิคตอเรีย ตั้งอยู่ทางใต้ ของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ รัฐนี้ได้ชื่อว่า Garden State เนื่องจากมีสวนสาธารณะมากกว่ารัฐอื่น เป็นเมืองแห่งมนต์เสน่ห์ประวัติศาสตร์และศิลปะร่วมสมัยของออสเตรเลีย ซึ่งเมืองนี้ก็มีความเจริญไม่แพ้กับซิดนีย์ เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่อยากเรียนภาษาและได้สัมผัสกับเทศกาล หรือปาร์ตี้ต่าง ๆ ที่เมืองนี้จัดขึ้นเกือบทุกเดือน และอยากท่องเที่ยวถ่ายรูปรอบเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ นอกจากนี้ เมลเบิร์น ยังถือเป็นเมืองคุณภาพชีวิตสูง มีสถาบันการเรียนภาษาที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพ มีงาน Part time ให้ทำเพื่อหารายได้พิเศษ รวมถึงมีกิจกรรมกีฬาหลากหลายชนิด
Sydney vs Melbourne เมืองไหนน่าไปเรียนภาษากว่ากัน?
#1 Sydney อากาศดีกว่า Melbourne
Sydney เป็นเมืองที่มีสภาพอากาศที่สดใส มีแสงแดดเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งจะเหมาะแก่การท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นอย่างมาก โดยในฤดูร้อนอุณหภูมิอาจจะสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูหนาวอุณภูมิจะลดลงเป็น 10 องศาเซลเซียส แต่โดยรวมแล้วอากาศจะอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส สบาย ๆ ซึ่งน้อง ๆ สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ชิล ๆ เลยค่ะ
ส่วนที่ Melbourne นั้นอากาศจะค่อนข้างเย็นและแปรปรวน จะมีทั้งหมด 4 ฤดู ซึ่งจะมีฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าฤดูอื่น ส่วนฤดูใบไม้ร่วงก็จะค่อนข้างเย็นสบายโดยเฉพาะตอนกลางวันถึงแม้อากาศจะเย็นแต่ก็ยังมีแสงแดดอยู่ตลอด ส่วนช่วงฤดูร้อนอุณหภูมิก็จะอยู่ประมาณ 15-26 องศาเซลเซียส ในบางวันอาจจะพบทั้ง 4 ฤดูเลยทีเดียว
#2 Melbourne ค่าครองชีพถูกกว่า Sydney
Melbourne มีค่าครองชีพถูกกว่า Sydney แม้จะต่างกันไม่เยอะมาก ปัจจัยสำคัญนั้นมาจากก็คือตัวเลือกในการเดินทาง ใน Melbourne มีทั้งรถไฟ บัส และรถราง (รถที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเลยก็ว่าได้) ให้เลือกใช้ และในบางพื้นที่ก็จะมีโซน Free Tram หรือโซนที่ให้บริการรถรางฟรียิ่งประหยัดเงินไปอีก
#3 Sydney มีความเป็นเมืองท่องเที่ยวกว่า Melbourne
Sydney ถือเป็นเมืองท่องเที่ยว สีสัน ความศิวิไลซ์ น้อง ๆ คนไหนที่ชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้ล่ะก็ห้ามพลาดเลยล่ะ นอกจากการเรียน หรือการทำงาน Part time ใน “ซิดนีย์” แล้วก็ยังสามารถไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ รอบเมืองได้อีกด้วย เช่น
- Sydney Opera House ถือว่าเป็นสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของซิดนีย์เลยก็ว่าได้ โดยสถาปัตยกรรมนี้จะมีรูปทรงคล้ายหอยเชลล์ ภายในก็จะประกอบไปด้วย ส่วนของศาลาคอนเสิร์ต โรงละคร ภัตตาคาร และศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติของประเทศออสเตรเลียและยังเป็นจุดชมวิวชมวิวที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน
- Sydney Harbour Bridge เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดี ที่นี่เขามีกิจกรรมสุดตื่นเต้นท้าทายที่เรียกว่า Climbing Bridge ท้าให้นักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามที่อยากจะพิชิตความกลัวมาลองไต่สะพาน Harbour นั่นเองค่ะ เพราะสะพานที่นี่สูงถึง 134 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ถึงแม้จะสูงขนาดไหนแต่ที่นี่รับรองว่าปลอดภัยแน่นอนค่ะ
- Koala Park Sanctuary ที่นี่คือสวนสัตว์พื้นเมือง น้องๆจะได้เพลิดเพลินไปกับการชมชีวิตของสัตว์พื้นเมืองนานาชาติ เช่น หมีโคอาล่า จิงโจ้ วอมแบท ฯลฯ รับรองว่าจะได้เห็นความน่ารักของสัตว์ทั้งหลายอย่างแน่นอน
#4 Melbourne เต็มไปด้วยศิลปะร่วมสมัย พิพิธภัณฑ์ Gallery เพียบ!
Melbourne นั้นถือว่าเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมของออสเตรเลีย ผสมผสานวัฒธรรมผ่านศิลปะ นำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ดนตรี มิวสิเคิล Street Art ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเส้นทางชมธรรมชาติอย่าง ‘The Great Ocean Road’ อยู่ใกล้ ๆ ด้วย หรือจะเลือกใช้วันหยุดไปกับการพักผ่อนที่สวนสาธารณะรอบ ๆ เมืองที่มีให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น
- Chinatown ตั้งอยู่บริเวณ Bourke Street ใจกลางเมืองเมลเบิร์น เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่อยากทานอาหารจีนหรือเอเชียที่มีให้เลือกมากมาย รับรองว่ามาที่นี่ที่เดียวอิ่ม!
- Lunar Park เป็นสวนสนุกขนาดย่อม ที่ไม่ได้มีเครื่องเล่นมากนัก แต่รับรองว่าสนุกไม่แพ้กัน เพราะจะได้บรรยากาศผ่อนคลายไปอีกแบบเนื่องจากสวนสนุกจะอยู่ใกล้กับชายหาด St Kilda Beach ค่ะ
- Street Art สำหรับสายอาร์ท ห้ามพลาดที่จะมาเยือนที่นี่เด็ดขาด เพราะจากที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่า เมลเบิร์นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ น้อง ๆ จะได้สัมผัสกับ street art ของจริง โดยมีการเพ้นท์ตามกำแพงในตรอกซอกซอยแทบทั้งเมืองเลย ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว หรือใครหลาย ๆ คนให้มาเช็คอิน ถ่ายรูปกันกันอย่างมากมาย และจุดหลัก ๆ ที่หลายคนไปกันก็คือบริเวณ Hosier and Rutledge Lane เป็นสตรีทอาร์ตที่ได้รับความนิยมมาก จนเกิด Street Art Tour กันเลยทีเดียว
#5 ทั้งสองเมืองเป็นเลิศด้านการศึกษา
บอกได้เลยว่าทั้งสองเมืองนั้นมีความโดดเด่นและเป็นเลิศด้านการศึกษา ทั้งจากการอ้างอิงการจัดอันดับหลาย ๆ สำนัก นอกจากนี้ในทั้งสองเมืองยังมีโรงเรียน มหาวิทยาลัยที่ดีและมีคุณภาพหลากหลายแห่ง และเป็นที่ไว้วางใจว่าคุ้มค่ากับการลงทุนไปเรียน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย รวมถึงยังมีชื่อเสียงในด้านความงดงามของภูมิประเทศ และวัฒนธรรมอีกด้วย
หากจะให้สรุปว่า ควรจะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี ระหว่าง Sydney หรือ Melbourne นั้น ก็ต้องบอกว่าสองเมืองนี้กินกันไม่ลงในเรื่องของการศึกษา และ Lifestyle น้อง ๆ จะได้ความรู้จากสถาบันการสอนภาษา เเละประสบการณ์อันล้ำค่าจากทั้งสองเมืองแน่นอน เพียงแต่น้อง ๆ อาจจะต้องตัดสินใจว่าชอบสไตล์ความเป็นอยู่ของที่ไหนมากกว่ากันระหว่างเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันของความทันสมัยอย่าง Sydney หรือเมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะร่วมสมัยอย่าง Melbourne หากตัดสินใจได้แล้ว หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถมาสมัคร หรือปรึกษาฟรีกับเรา SI-English ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ หรือดูคอร์สเรียนภาษาในออสเตรเลียได้ ที่นี่ ค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
4 ขั้นตอนไปเรียนภาษาออสเตรเลียสุดง่าย ฉบับ SI-English
4 งาน Part-time ยอดนิยมสำหรับนักเรียนไทยในออสเตรเลียออสเตรเลียนักเรียนการทำงาน
นักเรียนไทยสามารถทำงานในประเทศออสเตรเลียได้กี่ชั่วโมง
