นอกจากการฝึกภาษาโดยใช้แอพพลิเคชั่นมือถือแล้ว รู้ไหมว่าการอ่านหนังสือก็เป็นการฝึกภาษาที่สามารถเสริมสร้างพัฒนาการได้หลากหลายทักษะไม่แพ้กัน ทั้งการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ รวมถึงยังได้รับความสนุกสนานซึ่งบางทีคุณอาจจะกลายเป็นคนรักการอ่านขึ้นมาเลยก็ว่าได้ เอาล่ะค่ะอย่ารอช้าเพราะ SI-English มีหนังสือวรรณกรรมภาษาอังกฤษสุดเจ๋งมาให้ลองอ่านกัน รับรองว่าจะได้ทั้งความสนุกและความรู้ไปพร้อมๆกันแน่นอนค่ะ
Of Mice and Men โดย John Steinbeck
Of Mice and Men เป็นวรรณกรรมขนาดสั้นที่อ่านง่ายไม่ซับซ้อน โดยตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1937 ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวของ 2 หนุ่ม George Milton (จอร์จ มิลตัน) และ Lennie Small (เลนนี่ สมอลล์) แรงงานที่ย้ายหางานทำไปเรื่อยๆ ทั่วแคลิฟอร์เนียเพราะตอนนั้นอยู่ในยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ งานจึงหายาก จอร์จเป็นคนหัวดีแม้จะไม่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนมาก็ตาม ส่วนเลนนี่จะมีพัฒนาการทางสมองที่บกพร่อง เขาเป็นคนตัวใหญ่ดูน่ากลัว แต่ถึงยังไงทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกัน และมักมีความฝันว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะมีอนาคตที่สดใสและได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป ซึ่งเลนนี่จะเป็นคนที่ชอบเล่นกับสัตว์ที่มีขนนุ่ม น่ารักๆ เช่นกระต่าย แต่ด้วยความบกพร่องของเขาทำให้เขามักฆ่าสัตว์โดยไม่ตั้งใจเสมอ แล้ววันหนึ่งนิสัยของเลนนี่ก็กลายเป็นว่าทำให้เขาโดนกล่าวหาว่าพยายามข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่งนั่นเอง ซึ่งหากสนใจหนังสือสไตล์มิตรภาพของสองหนุ่มที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย และอยากรู้ว่าชีวิตเลนนี่ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร และทั้งคู่จะประสบความสำเร็จมีอนาคตที่สดใสหรือไม่ อย่าลืมไปหาอ่านกันให้ได้นะคะ
Frankenstein โดย Mary Shelley
ถ้าพูดคำว่า "แฟรงเกนสไตน์" ขึ้นมา คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำนี้ และพี่เชื่อว่าหลายคนคงจินตนาการเห็นภาพสัตว์ประหลาดที่คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ที่เกิดจากการเอาร่างคนตายมาปะต่อกันและใช้กระแสไฟฟ้าช็อตให้เกิดชีวิตขึ้นมา ซึ่งถ้าใครเป็นคอหนังสยองขวัญหรือเคยอ่านเรื่องนี้จริงๆแล้วก็จะรู้ว่า "แฟรงเกนสไตน์" นั้นคือนามสกุลของนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างสิ่งมีชีวิตนี้ขึ้นมาต่างหาก ไม่ใช่ชื่อของตัวสัตว์ประหลาดนั่นเอง ซึ่งถ้าใครรู้จักแฟรงเกนสไตน์มาจากสื่อต่างๆเยอะแล้ว เราขอแนะนำให้อ่านวรรณกรรมเรื่องนี้เลยค่ะ เพราะหนังสือเล่มนี้จะสามารถบอกเล่าเรื่องราวสยองขวัญสุดคลาสสิค ที่มีทั้งความน่ากลัวสยองขวัญ และความโรแมนติก ดราม่าเข้ามาผสมด้วย แถมยังจะได้หาคำตอบอีกด้วยว่าจริงๆแล้วสัตว์ประหลาดที่วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ สร้างขึ้นมานั้น มันเรียกตัวเองว่าอะไรกันแน่
To kill a Mockingbird โดย Harper Lee
หนังสือเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1960 และประสบความสำเร็จในทันที โดย To kill a mockingbird เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัล Pulitzer ที่เป็นรางวัลเกีรยติยศระดับชาติของสื่อสิ่งพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา แถมยังกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของอเมริกันในยุคใหม่อีกด้วย ถือเป็นหนึ่งในหนังสือขึ้นหิ้งที่ชาวอเมริกันต้องอ่านเลยทีเดียว
โดย To kill a mockingbird จะบอกเล่าเรื่องราวผ่าน Scout (สเก๊าต์) เด็กผู้หญิงวัย 6 ปีที่อาศัยอยู่กับพี่ชายชื่อ Jem (เจ็ม) และคุณพ่อที่เป็นพ่อหม้ายและเป็นทนายชื่อ Atticus Finch (แอตติคัส ฟินช์) นอกจากนี้สเก๊าต์ก็มีเพื่อนแถวบ้านที่สนิทกันอีกคนชื่อ Dill (ดิล) เด็กๆ ทั้งสามมักจะคุยกันเรื่องของผู้ชายที่ชื่อ Boo (บู) ที่ไม่มีใครเคยเห็นและไม่มีใครในเมืองอยากพูดถึงซักเท่าไหร่ ทั้งสามมักแอบไปดูบูบ่อยๆ และมักจะมโนต่างๆ นานาเกี่ยวกับบูไปตามที่ได้ยินคนอื่นเล่ามา แต่บางครั้งที่ไปแอบดูก็จะเจอของขวัญเล็กๆ ทิ้งไว้ให้เด็กๆ ในต้นไม้หน้าบ้านบู
นอกจากเรื่องราวของเด็กๆแล้ว ก็ยังเล่าเรื่องราวในการทำงานของพ่ออีกด้วย ซึ่งตัวพ่อได้ถูกให้ไปว่าความให้ชายผิวดำที่โดนกล่าวหาว่าไปข่มขืนเด็กผู้หญิงผิวขาว จึงทำให้เด็กคนอื่นมาล้อสเก๊าต์และเจ็มว่ามีพ่อที่เป็นพวกรักคนดำ เพราะเหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดที่มลรัฐอลาบาม่าในช่วง Great Depression (ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง) ซึ่งบริเวณนั้นในยุคนั้นยังไม่ค่อยมองคนผิวสีอย่างเท่าเทียมซักเท่าไหร่
ถ้าอยากรู้ว่าตกลงชายผิวดำคนนั้นทำผิดจริงมั้ย แล้วเด็กๆจะใช้ชีวิตแบบที่โดนคนอื่นแกล้งอย่างไร ก็ต้องตามไปอ่านเองค่ะ ซึ่งเนื้อเรื่องอาจจะดูหนักเพราะพูดถึงเรื่องสีผิวและคดีข่มขืน แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้ก็สอดแทรกทั้งข้อคิดการใช้ชีวิต ความขบขันของเด็กๆอยู่ไม่น้อย รวมถึงแฝงไปด้วยความอบอุ่นในครอบครัว และยังสะท้อนแนวคิดสังคมอเมริกันในรัฐทางภาคใต้ยุคนั้นด้วย To kill a mockingbird จึงกลายเป็นตำนานอีกเรื่องหนึ่งเลยล่ะค่ะ
เอาเป็นว่าวรรณกรรมทั้ง 3 เรื่องนี้รับรองได้เลยว่าคุณต้องสนุกกับการอ่านอย่างแน่นอน ใครชอบอ่านแนวไหนเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ อีกทั้งยังได้ฝึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษทั้งสมัยก่อน และสมัยใหม่ รวมถึงสำนวนภาษาอังกฤษต่างๆที่น่าสนใจอีกมากมาย นอกจากวรรณกรรมสำหรับผู้ใหญ่แล้ว วรรณกรรมสำหรับเด็กเพื่อการเรียนภาษาก็น่าอ่านไม่เเพ้กัน ดังนั้นก็อย่าลืมหามาอ่านกันนะคะ
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
6 วิธีง่ายๆในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง
10 คำแสลงน่ารู้ที่ชาว British มักใช้กันเป็นประจำ
5 วิธีฝึกภาษาอังกฤษพร้อม ๆ กับเพลิดเพลินไปกับงานอดิเรกของคุณ
หากคุณต้องการไปศึกษาต่อด้านภาษาในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร แคนาดา สหรัฐอเมริกา และไอร์แลนด์ คุณสามารถลงทะเบียนกับ SI-English ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อขอรับคำแนะนำจากเราฟรีได้แล้วตั้งแต่วันนี้ หรือสามารถค้นหาคอร์สเรียนภาษาในโรงเรียนภาษาที่ตรงใจคุณได้ที่นี่