หากพูดถึง Grammar (แกรมม่า) หรือไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ก็ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่จะนำไปสู่การสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของการฟัง พูด อ่าน เขียน โดยเฉพาะการเขียน Essay ให้เป็นมืออาชีพ ดังนั้นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียนที่จะต้องมีความเข้าใจในหลักการ และกฎเกณฑ์ของภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ตีความ และเข้าใจความหมายของประโยคภาษาอังกฤษต่างๆได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้เราจะขอนำเสนอไวยากรณ์ในเรื่องของ Tense ต่างๆที่คุณควรจำเป็นต้องรู้ค่ะ
Present Simple Tense
เริ่มต้นด้วย Tense ที่ง่ายๆไม่ซับซ้อนอย่าง Present Simple Tense โดย Tense นี้จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือความสามารถเฉพาะตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ประโยคอุทาน เรื่องทั่วๆไปที่เกิดขึ้นจริงขณะพูด การกระทำซ้ำจนเป็นนิสัย และใช้กับคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ที่แสดงเวลาหรือเหตุการณ์ในอนาคต หรือกำหนดเวลาที่แน่นอนแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถมีคำวิเศษณ์เหล่านี้อยู่ด้วย เช่น sometimes, often, never, always เป็นต้น
โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)
หากคำนาม (noun) หรือประธาน (subject) เป็นเอกพจน์ กริยาช่อง1 (verb1) จะต้องเติม s หรือ es
เช่น She eats bread in the morning.
หากคำนาม (noun) หรือประธาน (subject) เป็นพหูพจน์โดยรวมถึง I และ You ด้วย กริยาช่อง1 (verb1) จะไม่ต้องเติม s หรือ es
เช่น They/ I/ You go to school.
ประโยคคำถาม
ใช้ verb to do/does นำหน้าประโยค
ถ้าต้องการทำเป็นคำถามที่ตอบ “Yes”, “No” ให้นำ Verb to be (is, am, are) ขึ้นต้นนำหน้าประโยค
เช่น Are you hungry? Yes, I’m so hungry.
ประโยคปฏิเสธ
ใช้ verb to do/does + not นำหน้าคำกริยา
เช่น They don’t go to school today หรือ She doesn’t want to talk to anyone now.
Verb to be (is, am, are) สามารถใช้ได้กับ Present Tense ได้ เมื่อต้องการจะเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคปฏิเสธ โดยให้เติม not หลัง verb to be ได้เลย
เช่น He is not a bad guy. หรือ We are not his sisters.
Present Continuous Tense
Present Continuous Tense เป็น Tense ที่ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงอยู่ในขณะนั้น หรือเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นก่อนขณะพูดและยังเกิดขึ้นต่ออีกเล็กน้อยขณะที่พูดจบไป นอกจากนี้ยังใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นจนเป็นนิสัย และส่วนมากมักจะมีคำที่ใช้บอกเวลา เช่น now, today, at this moment เป็นต้น
โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + Verb to be (is, am, are,) + V.1(เติม ing)
เช่น I am eating an apple now. หรือ We are watching TV.
ประโยคคำถาม
ให้เติม verb to be ไว้หน้าประธาน (subject)
เช่น Are you going to work today?
ประโยคปฏิเสธ
ให้เติม not ไว้หลัง verb to be และตามด้วย V.1+ing
เช่น She is not riding a bike. หรือ They are not cutting trees.
Past Simple Tense
Past Simple Tense เป็น Tense ที่จะใช้สำหรับพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบลงไปแล้วซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้ทำแล้ว รวมถึงยังใช้กับเหตุการณ์ที่ทำจนเป็นนิสัยในอดีตซึ่งมักจะมีคำว่า often, always อยู่ในประโยค และมีคำบ่งบอกเวลา เช่น yesterday, at the time, last night, last week, in 2016 เป็นต้น
โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + V.2 (Verb ช่อง2) + O (Object)
เช่น They danced last night. หรือ He bought a computer last Sunday.
ประโยคคำถาม (ในรูปแบบบอกเล่า)
ใช้ Verb to do (did) ขึ้นต้นประโยค และเป็นกริยาแท้ในประโยคให้เป็นช่องที่ 1
เช่น Did you go to supermarket yesterday? Yes, I did / No, I didn’t.
หรือ Did two cats die last year? Yes, they did / No, they didn’t.
ประโยคคำถาม (ในรูปแบบปฏิเสธ)
ใช้ Verb to do (did) + ประธาน + not + กริยาช่อง1
เช่น Did you not buy a computer last Sunday?
หรือ ใช้ Didn’t + ประธาน + กริยาช่อง1
เช่น Didn’t It rain heavily last rainy season?
ประโยคปฏิเสธ
ให้ใช้ did not หรือ didn’t วางไว้หน้ากริยาแท้ช่องที่1
เช่น You didn’t cook dinner for me last week. หรือ The train didn’t arrive at 8 o’clock this morning.
Future Simple Tense
Future Simple Tense เป็น Tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต ยังไม่ได้กระทำหรือเกิดขึ้นในขณะที่พูด แต่เป็นการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมักจะมีคำวิเศษณ์บอกเล่าอยู่ด้วย เช่น tomorrow, next year, next week เป็นต้น
โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + will, shall + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)
เช่น We will go to Japan next year.
หรือการใช้ be going to จะใช้กับเหตุการณ์ที่ตั้งใจจะทำและกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
S (Subject) + be going to + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)
เช่น I am going to Japan next week.
ประโยคคำถาม
ให้ใช้ will, shall หรือ be going to ขึ้นนำหน้าประโยค
เช่น Will I go to school tomorrow? หรือ Will she not buy a bike next month?
หรือ Is he going to see movie tonight?
ประโยคปฏิเสธ
ให้เติม not หลัง will, shall หรือ be going to ได้เลย
เช่น We will not go to cinema next week. หรือ I am not going to see movie tonight.
Future Perfect Continuous Tense
Future Perfect Continuous Tense เป็น Tense ที่ใช้บอกเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้กระทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต และยังดำเนินต่อเนื่องไปถึงปัจจุบัน และในอนาคต
โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + will, shall + have + been + V.1 (เติม ing) + O (Object)
แบบมีเหตุการณ์เดียว เช่น I will have been eating breakfast for 30 minutes at 8 o’clock tomorrow.
แบบมีสองเหตุการณ์ (ซึ่งเหตุการณ์ที่ได้ดำเนินมาแล้วระยะหนึ่งใช้ Future Perfect Continuous อีกเหตุการณ์หนึ่งใช้ Present Simple) เช่น I will have been waiting for two hours when the plane arrives.
ประโยคคำถาม
ให้ใช้ will ขึ้นต้นประโยค ตามด้วยประธาน และตาม have been V.1 (เติม ing)
เช่น Will you have been waiting for me for two hours when I arrive?
หรือ How long will you have been waiting for me when I arrive?
อย่างไรก็ตามการเรียนรู้ในเรื่องของ Grammar หรือไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถของคุณเพียงแต่ต้องทำความเข้าใจในรูปประโยค และที่สำคัญหมั่นใช้ให้เป็นประจำ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะพูดผิดหรือถูก เพราะหากคุณใช้มันเป็นประจำก็จะทำให้คุณเกิดความเคยชินนั่นเองค่ะ
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และน่าสนใจ
5 เทคนิคการเขียน Email ภาษาอังกฤษให้ดูดีแบบมืออาชีพ!
20 สำนวนภาษาอังกฤษที่คุ้นหู และมักเจอในชีวิตประจำวัน
5 ประโยคปฏิเสธภาษาอังกฤษสำหรับ “Say No” แบบง่ายๆ แต่สุภาพ
หากคุณต้องการไปศึกษาต่อด้านภาษาในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร แคนาดา สหรัฐอเมริกา และไอร์แลนด์ คุณสามารถลงทะเบียนกับ SI-English ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อขอรับคำแนะนำจากเราฟรีได้แล้วตั้งแต่วันนี้ หรือสามารถค้นหาคอร์สเรียนภาษาในโรงเรียนภาษาที่ตรงใจคุณได้ที่นี่